จุดดำที่ตาขาว | เลเซอร์หรือผ่าตัด
- พญ.พรรักษ์ ศรีพล
- Feb 26
- 2 min read
Updated: Mar 11
โดย พญ.พรรักษ์ ศรีพล จักษุแพทย์เฉพาะทางต้อหิน

จุดสีดำหรือสีน้ำตาลบนตาขาวเป็นสิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน แต่เมื่อเริ่มสังเกตเห็น อาจเกิดความกังวลว่าเป็นไฝธรรมดาหรือเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรงกว่านั้น ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ไฝที่ตา (Conjunctival nevus) รวมถึงภาวะอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ได้แก่ Primary Acquired Melanosis (PAM), Complexion-Associated Melanosis (CAM), และ Ocular Melanocytosis พร้อมทั้งวิธีการวินิจฉัยและแนวทางการรักษา
ไฝที่ตา (Conjunctival nevus)
ความชุกของไฝที่ตา | Epidemiology
จากการศึกษาพบว่า ไฝที่ตาเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป โดยมีอัตราการพบอยู่ที่ 17–42% พบได้ในทั้งเพศชายและหญิงในอัตราที่ใกล้เคียงกัน จากประสบการณ์ของแพทย์เอง พบว่า ประมาณ 50% ของผู้ที่เข้ารับการตรวจตา อาจมีไฝที่ตาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
ปัจจัยเสี่ยงของไฝที่ตา | Risk factor
แม้ว่ายังไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัดของไฝที่ตา แต่มีปัจจัยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่
ฮอร์โมน: ไฝที่ตาอาจปรากฏตั้งแต่เกิด หรือเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น
แสงแดด: มีการสันนิษฐานว่าแสงแดดอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีในเยื่อบุตา
ลักษณะของไฝที่ตา | Characteristic
ไฝที่ตาสามารถมีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น
สี: ตั้งแต่สีเหลืองอ่อน ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือดำ
พื้นผิว: อาจเป็นก้อนเรียบหรือนูนขึ้นมา
ลักษณะร่วม: บางก้อนอาจมี ถุงน้ำ (cyst) อยู่ภายใน ซึ่งช่วยบ่งชี้ว่าเป็นไฝชนิดธรรมดา
โดยทั่วไป ไฝที่ตามักมีลักษณะคงที่ แต่หากก้อนโตขึ้นเร็วหรือสีเข้มขึ้นผิดปกติ อาจต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติม



การวินิจฉัย | Diagnosis
แพทย์สามารถวินิจฉัยไฝที่ตาได้โดยใช้ กล้องขยาย (slit lamp biomicroscopy) เพื่อสังเกตลักษณะของก้อนเนื้อ หากมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นเนื้อร้าย อาจต้องทำ การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
แนวทางการรักษา | Treatment
1. การยิงเลเซอร์
การใช้เลเซอร์เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาไฝที่ตา โดยมีข้อดีคือ
สามารถกำจัดเม็ดสีของไฝได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสีจางหรือสีเข้ม
เป็นหัตถการที่ทำได้แบบผู้ป่วยนอก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บ เพราะมีการหยอดยาชาก่อนทำ
ข้อเสียของเลเซอร์
ไม่สามารถตรวจชิ้นเนื้อ ได้ ดังนั้น หากมีก้อนที่โตเร็วผิดปกติ หรือมีลักษณะต้องสงสัย ควรเลือกการผ่าตัดแทน
อาจมีอาการตาแดงชั่วคราวประมาณ 3 วัน หลังทำ


2. การผ่าตัด
หากไฝที่ตามีขนาดใหญ่ โตเร็ว หรือสงสัยว่าเป็นมะเร็ง การผ่าตัดเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ในกรณีที่ต้องตัดชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ อาจต้องใช้ แผ่นเนื้อเยื่อ (graft) มาปิดบริเวณที่ตัดออก
แผ่นเนื้อเยื่อนี้อาจมาจาก เยื่อบุตาของตัวเอง หรือ เนื้อเยื่อรก (amniotic membrane) ขึ้นอยู่กับขนาดของแผล
แพทย์บางท่านเลือกใช้เนื้อเยื่อรกแทนการใช้เยื่อบุตาของตัวเอง ในกรณีที่ต้องตัดก้อนใหญ่มาก เพราะต้องการเก็บเยื่อบุตาไว้เผื่อใช้ในอนาคต หากเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา
Primary Acquired Melanosis (PAM)
PAM เป็นภาวะที่พบในผู้ใหญ่ โดยเป็นจุดสีน้ำตาลที่เกิดขึ้นใหม่บนเยื่อบุตา
PAM with atypia (มีเซลล์ผิดปกติ) มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเยื่อบุตาได้สูงถึง 50%
PAM without atypia (ไม่มีเซลล์ผิดปกติ) มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งต่ำมาก (ต่ำกว่า 1%)
ลักษณะของ PAM
พบมากใน ผู้หญิง
เป็นก้อน เรียบ สีอาจเปลี่ยนไปตามเวลา
มักพบที่บริเวณ หางตา
มักเกิดขึ้น ข้างเดียว


แนวทางการรักษา:หากสงสัยว่าเป็น PAM ควร ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อตรวจสอบว่ามี atypia หรือไม่


Complexion-Associated Melanosis (CAM)
CAM เป็นภาวะที่พบได้บ่อยใน คนเอเชีย และ คนผิวคล้ำ
เป็นจุดสีน้ำตาล เรียบ บนเยื่อบุตา
มักเกิดที่ ตาทั้งสองข้าง
พบใน ผู้สูงอายุ
ไม่ใช่ภาวะอันตราย และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งต่ำมาก

แนวทางการรักษา:ไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ควรตรวจติดตามเป็นระยะ
Ocular Melanocytosis
Ocular melanocytosis เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสี ในชั้นลึกของเยื่อบุตาขาว
พบได้ตั้งแต่เกิด
ไม่ใช่ภาวะอันตราย แต่ มีความสัมพันธ์กับมะเร็งตา (uveal melanoma) ได้ในบางกรณี
แนวทางการรักษา:ควรตรวจติดตามเป็นระยะ และเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสีและขนาด

การติดตามและเฝ้าระวัง
หากคุณมีไฝที่ตา ควรเข้ารับการตรวจตาเป็นระยะ อย่างน้อยทุก 6–12 เดือน เพื่อ
🔹 ถ่ายภาพเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของไฝ
🔹 ติดตามขนาด สี และลักษณะของก้อน
🔹 หากก้อนโตเร็วขึ้น หรือสีเข้มขึ้น ควรเข้าพบแพทย์ทันที
สรุป
ไฝที่ตาพบได้บ่อยและมักไม่เป็นอันตราย
หากไฝมีการเปลี่ยนแปลง เช่น โตเร็วขึ้น หรือสีเข้มขึ้น ควรตรวจเพิ่มเติม
ภาวะอื่นๆ เช่น PAM, CAM และ Ocular Melanocytosis อาจมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
วิธีการรักษามีทั้ง เลเซอร์ และ การผ่าตัด ขึ้นอยู่กับลักษณะของก้อน
อย่าลืมตรวจตาเป็นระยะกับจักษุแพทย์ เพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติและรักษาสุขภาพดวงตาของคุณให้แข็งแรง
Reference