top of page

จุดดำลอยไปมา | Eye Floaster

อัปเดตเมื่อ 3 ส.ค.

By Phornrak Sriphon, Board Certified ophthalmologist

ree
บทนำ

หลายคนอาจเคยประสบกับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าพึงใจขณะจ้องมองท้องฟ้าสว่างจ้า หรือผนังเรียบสีขาว แล้วสังเกตเห็นเงาดำลอยไปมาในสายตา ลักษณะคล้ายใยแมงมุม เส้นบาง ๆ หรือจุดดำลอยอย่างอิสระ ไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ บางครั้งอาจรู้สึกรำคาญหรือวิตกกังวลว่าดวงตากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง

อาการดังกล่าวทางการแพทย์เรียกว่า Vitreous Floaters หรือ ภาวะวุ้นในตาเสื่อม (Degenerative Vitreous Syndrome) ซึ่งในบางกรณีอาจพัฒนาเป็นภาวะที่เรียกว่า Vision Degrading Myodesopsia (VDM) ได้ วันนี้เราจะมาเข้าใจอย่างเจาะลึกเกี่ยวกับภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม ในบทความนี้

ปูพื้นฐานแบบเข้าใจง่ายที่สุด: รู้จักโครงสร้างภายในลูกตา

ก่อนที่เราจะเข้าใจว่า “หยากไย่” ในตา หรือ Vitreous Floaters เกิดขึ้นได้อย่างไร เราต้องมารู้จัก “ช่องต่าง ๆ ภายในดวงตา” เสียก่อน เพราะเจ้าก้อนลอยใส ๆ ที่เรารำคาญตานั้น มักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า ช่องว่างน้ำวุ้นตา (Vitreous Chamber)

1.1 ดวงตามีช่องหลักอยู่ 3 ช่อง (Ocular Chambers)

ลองนึกภาพดวงตาเป็นทรงกลมใส ๆ ภายในถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้:

1. ช่องหน้าม่านตา (Anterior Chamber)

  • เป็นช่องว่างระหว่าง กระจกตา (cornea) กับ ม่านตา (iris)

  • บรรจุด้วยของเหลวใสที่เรียกว่า aqueous humor ซึ่งทำหน้าที่หล่อเลี้ยงกระจกตาและเลนส์ รวมถึงช่วยรักษาความดันภายในตา (intraocular pressure)

2. ช่องหลังม่านตา (Posterior Chamber)

  • อยู่ระหว่าง ม่านตา กับ เลนส์ตา (lens)

  • เป็นบริเวณที่ของเหลว aqueous humor ถูกผลิตจาก ciliary body แล้วไหลผ่านมายังช่องหน้าม่านตา

3. ช่องน้ำวุ้นตา (Vitreous Chamber)

  • เป็นช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดในลูกตา อยู่ หลังเลนส์ตา ไปจนถึง จอประสาทตา (retina)

  • เต็มไปด้วย น้ำวุ้นตา (vitreous gel) ซึ่งเป็นเจลใสคล้ายวุ้น ประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก (กว่า 98%) ผสมกับคอลลาเจนและไฮยาลูรอนิกแอซิด

 น้ำวุ้นตา (vitreous gel) 

คือโครงสร้างโปร่งใส ไม่มีสี มีลักษณะคล้ายเจลซึ่งบรรจุอยู่เต็มโพรงวุ้นตา คิดเป็นปริมาตรประมาณ 80% ของลูกตาทั้งหมด หน้าที่หลักของวุ้นตาคือการให้การสนับสนุนเชิงโครงสร้างเพื่อรักษารูปทรงกลมของลูกตา และที่สำคัญที่สุดคือการทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่โปร่งใสอย่างสมบูรณ์เพื่อให้แสงสามารถเดินทางจากเลนส์ตาไปยังจอประสาทตาได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง 

วุ้นตาไม่ใช่ของเหลวธรรมดา แต่เป็นไฮโดรเจล (hydrogel) ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและเป็นระเบียบสูง ส่วนประกอบหลัก 98-99% คือน้ำ ส่วนที่เหลืออีก 1-2% ประกอบด้วยโครงข่ายที่ซับซ้อนของโปรตีนโครงสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่คือเส้นใยคอลลาเจน (collagen fibrils) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA)  

ความสัมพันธ์ระหว่างคอลลาเจนและ HA มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณสมบัติของวุ้นตา เส้นใยคอลลาเจนทำหน้าที่เป็นโครงร่างจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่โมเลกุลของ HA จะแทรกตัวและพันกันอยู่ภายในโครงข่ายคอลลาเจนนี้ 

พร้อมทั้งดึงดูดและกักเก็บโมเลกุลของน้ำไว้ ซึ่งจะคอยผลักให้เส้นใยคอลลาเจนแต่ละเส้นแยกออกจากกันและกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ กลไกนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้วุ้นตามีคุณสมบัติเป็นเจลและมีความโปร่งใสในระดับสูงสุด 

จอประสาทตา (retina) คือเนื้อเยื่อประสาทบางๆ ที่มีหลายชั้น บุอยู่ด้านในสุดของลูกตา ใน embryology เชื่อมว่าจอประสาทตาถือเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่ยื่นออกมา จึงจัดเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง หน้าที่ของจอประสาทตานั้นเปรียบได้กับฟิล์มในกล้องถ่ายรูป คือทำหน้าที่รับแสงและแปลงสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า จากนั้นจึงส่งผ่านเส้นประสาทตา (optic nerve) ไปยังสมองเพื่อแปลผลเป็นภาพที่เรามองเห็น  

จุดรับภาพชัด (macula) เป็นบริเวณเล็กๆ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเป็น ศูนย์กลางของจอประสาทตา ซึ่งรับผิดชอบการมองเห็นที่คมชัดและต้องการรายละเอียดสูงสุด เช่น การอ่านหนังสือ การขับรถ การจดจำใบหน้า และการมองเห็นสี ตรงกลางของจุดรับภาพชัด มีหลุมเล็กๆ ที่เรียกว่า โฟเวีย (fovea) ซึ่งเป็นบริเวณที่อัดแน่นไปด้วยเซลล์รับแสงชนิดกรวย (cone photoreceptors) และเป็นส่วนเดียวของจอประสาทตาที่สามารถให้ความคมชัดของการมองเห็นในระดับ 20/20 ได้

รอยต่อระหว่างวุ้นตาและจอประสาทตา

วุ้นตาไม่ได้ลอยอยู่อย่างอิสระ แต่มีการยึดเกาะกับจอประสาทตาและโครงสร้างอื่นๆ ณ จุดต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ ความแข็งแรงของจุดยึดเกาะเหล่านี้แตกต่างกันไป

จุดยึดเกาะที่แข็งแรงที่สุด: ฐานวุ้นตา (Vitreous Base) เป็นแถบยึดเกาะที่กว้างประมาณ 4-6 มิลลิเมตร บริเวณขอบนอกสุดของจอประสาทตา การยึดเกาะในบริเวณนี้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษและมักจะคงอยู่ตลอดชีวิต แม้ในระหว่างที่เกิดการหลุดลอกของวุ้นตาก็ตาม  จุดยึดเกาะที่อ่อนแอกว่า: บริเวณอื่นๆ ที่วุ้นตายึดเกาะกับโครงสร้างด้านหลัง ได้แก่ ขอบของขั้วประสาทตา (optic nerve head), บริเวณโฟเวีย ณ ศูนย์กลางของจุดรับภาพชัด, และตามแนวของหลอดเลือดหลักบนจอประสาทตา  

การเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง: ภาวะวุ้นในตาเสื่อม (Vitreous Degeneration)

ภาวะวุ้นในตาเสื่อม (Vitreous Degeneration หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า "วุ้นในตาเสื่อม") เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกิดขึ้นกับทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจเริ่มได้ตั้งแต่วัยเด็ก มีหลักฐานจากการตรวจอัลตราซาวนด์ที่พบการเหลวตัวของวุ้นตาได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี และเมื่อถึงอายุ 80 ปี วุ้นตามากกว่าครึ่งหนึ่งมักจะกลายสภาพเป็นของเหลวไปแล้ว 

ภาวะวุ้นตาเสื่อมประกอบด้วยสองกระบวนการหลักที่เกิดขึ้นพร้อมกันและสัมพันธ์กัน ได้แก่:

  • การเหลวตัว (Liquefaction หรือ Synchysis): คือการที่โครงสร้างของเจลวุ้นตาสลายตัวกลายเป็นของเหลวที่มีลักษณะคล้ายน้ำมากขึ้น กระบวนการนี้เกิดจากการที่โมเลกุลของกรดไฮยาลูโรนิกแยกตัวออกจากโครงข่ายคอลลาเจน ทำให้โมเลกุลของน้ำที่เคยถูกกักเก็บไว้ถูกปล่อยออกมาและรวมตัวกันเป็นแอ่งของเหลว (lacunae) ภายในวุ้นตา  

  • การยุบตัวและการจับกลุ่ม (Collapse and Clumping หรือ Syneresis): เมื่อเจลกลายเป็นของเหลวมากขึ้น โครงข่ายเส้นใยคอลลาเจนจะสูญเสียการพยุงตัวและการกระจายตัวที่สม่ำเสมอ ทำให้เส้นใยเหล่านี้ยุบตัวลงและรวมตัวกันเป็นก้อนหรือตะกอนขุ่นที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดทางกายภาพของ "หยากไย่" หรือจุดดำลอยไปมานั่นเอง  

ปรากฏการณ์ทั้งสองนี้ไม่ได้เป็นอิสระต่อกัน แต่เป็นกระบวนการล้มเหลวทางชีวกลศาสตร์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงในระดับโมเลกุลเมื่อพันธะระหว่างกรดไฮยาลูโรนิกและคอลลาเจนอ่อนแอลง นำไปสู่การปล่อยน้ำและการเหลวตัว (synchysis) จากนั้นโครงข่ายคอลลาเจนที่ขาดการค้ำจุนจึงยุบตัวลงและจับกันเป็นก้อน (syneresis) และท้ายที่สุด ปริมาตรโดยรวมของส่วนที่เป็นเจลลดลง ทำให้วุ้นตาทั้งก้อนหดตัวและเตรียมพร้อมที่จะแยกตัวออกจากจอประสาทตา ลำดับเหตุการณ์นี้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผลว่าภาวะวุ้นตาเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร

เส้นใยเหล่านี้จะสานกันเป็นโครงข่ายอยู่ภายในน้ำวุ้นตาและยึดติดอยู่กับผิวของจอประสาทตา (retina) เมื่อเวลาผ่านไป น้ำวุ้นตาจะหดตัวลง ทำให้เส้นใยเหล่านี้ดึงรั้งผิวของจอประสาทตา บ่อยครั้งที่เส้นใยเหล่านี้จะขาดออกจากกัน ทำให้น้ำวุ้นตาสามารถลอกตัวแยกออกมาและหดตัวลงได้อย่างต่อเนื่อง

กำเนิดของหยากไย่: เงาบนจอประสาทตา

ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ก้อนคอลลาเจนที่จับกลุ่มกัน (ศัพท์ทางการแพทย์คือ myodesopsia ) ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ป่วยมองเห็นโดยตรง แต่ตะกอนขุ่นเหล่านี้จะล่องลอยอยู่ภายในโพรงวุ้นตาที่เหลวตัวลง เมื่อแสงเดินทางผ่านเข้ามาในลูกตา ตะกอนเหล่านี้จะบดบังแสงและทอดเงาลงบนจอประสาทตา สมองจะแปลผลเงาที่เคลื่อนไหวเหล่านี้ว่าเป็นจุด เส้น หรือใยแมงมุม  

ลักษณะของหยากไย่ที่มองเห็นอาจมีได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จุด, วงกลม, เส้น, ก้อนเมฆ หรือ "ใยแมงมุม" ที่เป็นที่รู้จักกันดี ลักษณะการเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน คือการเคลื่อนที่ตามการกลอกตาไปมาแต่จะช้ากว่าเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ลอยต่อไปเอง คือที่มาของชื่อในภาษาอังกฤษว่า "floaters" (สิ่งที่ลอยไปมา)  

วงแหวนไวส์ (Weiss Ring)

วงแหวนไวส์ (Weiss ring) เป็นหยากไย่ชนิดพิเศษที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัย ผู้ป่วยมักจะมองเห็นเป็นลักษณะวงกลม วงรี หรือรูปตัว C ที่ค่อนข้างชัดเจน  

ต้นกำเนิดของวงแหวนไวส์นั้นมีความจำเพาะเจาะจงอย่างยิ่ง มันคือเศษเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและคอลลาเจนที่เคยเป็นจุดยึดเกาะระหว่างวุ้นตากับขอบของขั้วประสาทตา (peripapillary adhesion) เมื่อจุดยึดเกาะนี้หลุดออกในระหว่างกระบวนการหลุดลอกของวุ้นตา (PVD) เนื้อเยื่อรูปวงแหวนนี้จะลอยออกมาด้านหน้าเข้าสู่โพรงวุ้นตา การปรากฏของวงแหวนไวส์จึงเป็นหลักฐานทางคลินิกที่ชัดเจนว่าได้เกิดการหลุดลอกของวุ้นตาขึ้นแล้ว และกระบวนการได้ดำเนินไปถึงขั้นที่วุ้นตาหลุดออกจากขั้วประสาทตาเป็นที่เรียบร้อย  

"ลองนึกภาพวุ้นในตาของเราเหมือนเจลลี่ใสๆ หรือไข่ขาวดิบที่อยู่ในลูกตาของเรานะคะ ตอนเด็กๆ หรือวัยรุ่น เจลลี่นี้จะใสปิ๊งเลย แต่พออายุมากขึ้น มันก็เริ่มเสื่อมสภาพ กลายเป็นน้ำบางส่วน และมีกากตะกอนเล็กๆ จับตัวกันเป็นก้อน...นั่นแหละค่ะคือเจ้า 'หยากไย่' ที่เราเห็นกัน"

เจาะลึกสาเหตุและอาการ (Deep Dive)

สาเหตุหลักของวุ้นในตาเสื่อม (Vitreous Degeneration): ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิด PVD และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า ได้แก่:-อายุ: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังอายุ 50 ปี 

-สายตาสั้น (Myopia): เป็นปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญมาก ผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ (เช่น มากกว่า 400 หรือ -4.00 diopters) มีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลเบื้องหลังความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากกลไกสองอย่างร่วมกัน ประการแรก ลูกตาของผู้ที่มีสายตาสั้นจะมีความยาวจากด้านหน้าไปด้านหลัง (axial length) มากกว่าปกติ ทำให้เนื้อเยื่อจอประสาทตาในปริมาณเท่ากันต้องถูกขึงให้ครอบคลุมพื้นที่ผิวที่ใหญ่ขึ้น ส่งผลให้จอประสาทตาบางลง เปราะบาง และเสี่ยงต่อการฉีกขาดได้ง่ายขึ้น ประการที่สอง ภาวะวุ้นตาเสื่อม (syneresis) มักจะเกิดขึ้นในอายุที่น้อยกว่าในผู้ที่มีสายตาสั้น การผสมผสานระหว่างการเกิด PVD ที่เร็วขึ้นร่วมกับจอประสาทตาที่อ่อนแอกว่าเชิงโครงสร้างนี้ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากต่อการเกิดรอยฉีกขาด 

-ประวัติการบาดเจ็บที่ดวงตาหรือการผ่าตัดตา: การกระแทกอย่างรุนแรงที่ดวงตาหรือการผ่าตัดภายในลูกตา (ที่พบบ่อยที่สุดคือการผ่าตัดต้อกระจก) สามารถรบกวนโครงสร้างของวุ้นตา ทำให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นและกระตุ้นให้เกิด PVD 

-โรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง: ภาวะต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน (โดยเฉพาะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาระยะที่มีหลอดเลือดงอกใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ผิดปกติ) และการอักเสบภายในลูกตา (uveitis) สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของวุ้นตาและรอยต่อระหว่างวุ้นตากับจอประสาทตา ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 

-ประวัติส่วนตัวและประวัติครอบครัว: การเกิด PVD ในตาข้างหนึ่งเพิ่มโอกาสอย่างมากที่ตาอีกข้างจะเกิดตามมา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนถึง 2 ปี ประวัติส่วนตัวหรือประวัติครอบครัวเคยเป็นจอประสาทตาหลุดลอกก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเช่นกัน 

Myopic Vitreopathy คือความผิดปกติของวุ้นตาที่เกิดขึ้นในผู้ที่มีสายตาสั้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีสายตาสั้นมากหรือสายตาสั้นชนิดรุนแรง วุ้นตาจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เช่น เส้นใยวุ้นตาอาจรวมตัวเป็นก้อนหรือขุ่นมัวมากขึ้น ทำให้เกิดตะกอนลอยในดวงตา (floaters) และมีผลทำให้การมองเห็นลดลง ความผิดปกตินี้มักเกิดร่วมกับภาวะลอกตัวของวุ้นตาหลัง (PVD) และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยสายตาสั้นมีอาการ floaters รบกวนมากกว่าคนทั่วไป

โดยสรุป Myopic Vitreopathy คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวุ้นตาในผู้มีสายตาสั้น ที่ทำให้เกิดอาการลอยของตะกอนวุ้นตา และส่งผลกระทบต่อคุณภาพการมองเห็น

Axial myopia มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของวุ้นตาที่เพิ่มขึ้น และการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของความไวต่อความเปรียบต่างของการมองเห็น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการบ่นเรื่องการมองเห็นและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตที่พบบ่อยในผู้ป่วยสายตาสั้น และในบางกรณี การผ่าตัดตัดวุ้นตาอาจช่วยฟื้นฟูการทำงานของดวงตาได้

อาการ
  • Floaters vs. Flashers (จุดดำ กับ แสงแฟลช):

  • Floaters (จุดดำ/หยากไย่): อธิบายลักษณะต่างๆ ที่คนไข้เจอ (จุด, เส้น, วงแหวน, ใยแมงมุม)

  • Flashers (แสงวาบ/แสงแฟลช): นี่คือประเด็นสำคัญที่อยากให้ทุกคนตั้งใจฟังนะคะ!

  • อธิบายกลไก: "เมื่อวุ้นในตามันหดตัว มันจะไปดึงรั้งที่จอประสาทตา ซึ่งเป็นเหมือนฟิล์มถ่ายรูปในตาของเรา การดึงรั้งนี้จะไปกระตุ้นเซลล์รับแสง ทำให้สมองตีความว่ามี 'แสงแฟลช' หรือ 'ฟ้าแลบ' เกิดขึ้นในตา ทั้งๆ ที่ไม่มีแสงจริงเลยค่ะ"

  • เน้นย้ำ: อาการเห็นแสงแฟลชเป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเดิมนะคะ

Vision Degrading Myodesopsia (VDM)

ภาวะ Vision Degrading Myodesopsia (VDM) คือภาวะที่เกิดจากตะกอนในวุ้นตา ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่โครงสร้างภายในวุ้นตาเท่านั้น แต่เป็นภาพลวงตาที่สมองรับรู้เมื่อเห็นตะกอนเหล่านั้น ภาวะนี้ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการมองเห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดลงของความไวต่อความเปรียบต่าง (contrast sensitivity) ซึ่งเป็นการทำให้ภาพที่เห็นมีความคมชัดน้อยลง ผู้ป่วยที่มี VDM มักมีอาการรบกวนการมองเห็นมากกว่าผู้ที่มีตะกอนวุ้นตาธรรมดา และอาการเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตประจำวัน

คำว่า Myodesopsia มาจากภาษากรีก โดยหมายถึง “ภาพลอยเหมือนแมลงบิน” หรือ “ตะกอนลอยในน้ำตา” ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในวงการจักษุแพทย์เพื่ออธิบายอาการลอยของจุดหรือเส้นใสที่ปรากฏในสายตา

การวินิจฉัยภาวะ VDM ต้องอาศัยการประเมินทั้งโครงสร้างของวุ้นตาและการทดสอบฟังก์ชันการมองเห็นอย่างละเอียด เพื่อแยกแยะผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงซึ่งสามารถเฝ้าระวังได้จากผู้ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การผ่าตัดตัดวุ้นตา

3 สัญญาณอันตราย ที่ต้องรีบไปหาหมอทันที

ส่วนนี้จะถูกนำเสนอด้วยความชัดเจนและเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนสูงสุด อาการเหล่านี้คือสัญญาณที่บังคับให้ต้องเข้ารับการตรวจขยายม่านตาอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์  โดยด่วนที่สุด (ภายใน 24 ชั่วโมง)  

  1. การเห็นหยากไย่ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันเหมือน "ฝนดาวตก": การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมากมายของจุดดำเล็กๆ ซึ่งมักถูกบรรยายว่าเหมือน "ฝูงแมลงหวี่", "พริกไทยป่น", หรือ "เขม่าควัน"  

  2. การเห็นแสงวาบที่เกิดขึ้นใหม่หรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ: แม้ว่าแสงวาบจะเป็นอาการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ใน PVD ทั่วไป แต่การเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ต่อเนื่อง หรือรุนแรงขึ้นของความถี่หรือความสว่างของแสงวาบถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญอย่างยิ่ง  

  3. การเห็นเงาหรือม่านบังตา: การปรากฏของเงาดำ เทา หรือภาพมัวคล้ายม่านที่บดบังการมองเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งอย่างถาวร โดยทั่วไปมักจะเริ่มจากขอบสายตา (peripheral vision) และอาจลามเข้ามาสู่ส่วนกลาง 

อธิบายเหตุผล: "ทำไมต้องรีบ? เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของ จอประสาทตาฉีกขาด (Retinal Tear) หรือ หลุดลอก (Retinal Detachment) ซึ่งถ้าไม่รักษาภายใน 24-72 ชั่วโมง อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้เลย" 

การทำความเข้าใจว่าสัญญาณเตือนแต่ละอย่างบ่งบอกถึงเหตุการณ์ทางกายภาพใดที่กำลังเกิดขึ้นภายในดวงตาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเสริมสร้างความรู้และความปลอดภัยของผู้ป่วย
  • แสงวาบ (บ่งบอกถึงแรงดึงรั้ง - TRACTION): นี่คือ ตัวการ ที่เป็นแรงกระทำ วุ้นตากำลังดึงรั้งจอประสาทตาอย่างแข็งขัน ซึ่งเป็นสภาวะก่อนที่จะเกิดรอยฉีกขาด การเปลี่ยนแปลงของแสงวาบหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงรั้ง

  • หยากไย่ที่เพิ่มขึ้นเหมือนฝนดาวตก (บ่งบอกถึงรอยฉีกขาด - TEAR และ/หรือ เลือดออก - HEMORRHAGE): นี่คือ การทะลุทะลวง แรงดึงรั้งนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้จอประสาทตาเกิดรอยฉีกขาด รอยฉีกขาดนี้อาจทำให้หลอดเลือดฝอยบนจอประสาทตาฉีกขาดไปด้วย ส่งผลให้มีเลือดออกในวุ้นตา (vitreous hemorrhage) หรืออาจทำให้เซลล์เม็ดสีจากชั้น RPE (retinal pigment epithelium) ที่อยู่ใต้จอประสาทตาหลุดลอยออกมา "ฝนดาวตก" ที่ผู้ป่วยเห็นคือเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือเซลล์เม็ดสีหลายร้อยเซลล์ที่ลอยอยู่ในวุ้นตานั่นเอง  

  • เงาหรือม่านบังตา (บ่งบอกถึงการหลุดลอก - DETACHMENT): นี่คือ ผลลัพธ์สุดท้าย น้ำวุ้นตาที่เหลวได้ไหลผ่านรอยฉีกขาดเข้าไปและกำลังเซาะให้จอประสาทตาลอยตัวขึ้นจากผนังด้านหลังของลูกตา เปรียบได้กับวอลเปเปอร์ที่ลอกออกจากผนังที่ชื้น ส่วนของจอประสาทตาที่หลุดลอกออกมาจะไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปและไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ส่งผลให้เกิดจุดบอดหรือ "ม่าน" ที่สอดคล้องกันในลานสายตา 

การวินิจฉัยและการรักษา

เมื่อมาหาหมอ จะเจออะไรบ้าง?:

  • สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำคือ วิธีเดียวที่จะวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงของอาการแสงวาบและหยากไย่ที่เกิดขึ้นใหม่ได้อย่างแม่นยำ คือการตรวจจอประสาทตาอย่างละเอียดด้วยการขยายม่านตา (dilated fundus examination) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา  

  • กระบวนการตรวจจะเริ่มต้นด้วยการใช้ยาหยอดตาเพื่อขยายรูม่านตาให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถใช้เลนส์พิเศษและแหล่งกำเนิดแสง (เช่น กล้องจุลทรรศน์ตรวจตา หรือ slit lamp และกล้องส่องตรวจจอประสาทตาทางอ้อม หรือ indirect ophthalmoscope) เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน เป็นสามมิติ และครอบคลุมมุมกว้างของจอประสาทตาทั้งหมด รวมถึงบริเวณขอบนอกสุดซึ่งเป็นตำแหน่งที่มักเกิดรอยฉีกขาดบ่อยที่สุด  

  • ในบางกรณี อาจมีการใช้เครื่องมือถ่ายภาพพิเศษช่วยในการวินิจฉัย เช่น การตรวจด้วยเครื่องสแกนจอประสาทตา (Optical Coherence Tomography หรือ OCT) ซึ่งให้ภาพตัดขวางที่มีความละเอียดสูงของจอประสาทตาและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการประเมินบริเวณจุดรับภาพชัด หรือการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ ซึ่งมีค่าอย่างยิ่งในกรณีที่มองเห็นจอประสาทตาได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากต้อกระจกที่ขุ่นมากหรือมีเลือดออกในวุ้นตาปริมาณมาก 

วิธีการรักษา: จาก "เฝ้าดู" สู่ "เทคโนโลยีล่าสุด"
  • แนวทางที่ 1: เฝ้าดูและปรับตัว (Conservative Approach)

  • สำหรับ 95% ของเคสที่ไม่เป็นอันตราย

  • อธิบายว่าสมองของเราเก่งมากค่ะ มันจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะ "ไม่สนใจ" (Neuro-adaptation) และตะกอนบางส่วนอาจลอยไปจากแนวการมองเห็นเอง

คำแนะนำในการนัดตรวจติดตามผล

  • กรณีที่ตรวจไม่พบรอยฉีกขาดหรือเลือดออก: จำเป็นต้องนัดตรวจซ้ำด้วยการขยายม่านตาและใช้อุปกรณ์กดตา (scleral depression) ภายใน 2 ถึง 4 สัปดาห์ หากในการตรวจครั้งนั้นยังไม่พบการหลุดลอกของจอประสาทตา ให้ทำการตรวจขยายม่านตาซ้ำอีกครั้งที่ระยะเวลา 3 เดือน และ 6 เดือน นับจากวันที่เริ่มมีอาการครั้งแรก

  • กรณีที่ตรวจไม่พบรอยฉีกขาด แต่พบเลือดออกเล็กน้อย: หากตรวจไม่พบรอยฉีกขาดของจอประสาทตา แต่มีเลือดออกเล็กน้อยในวุ้นตา หรือมีจุดเลือดออกเล็กๆ ที่ขอบจอประสาทตา จะต้องทำการตรวจขยายม่านตาในสัปดาห์ที่ 1, สัปดาห์ที่ 2-4, เดือนที่ 3 และเดือนที่ 6 นับจากวันที่เริ่มมีอาการ

  • กรณีที่ตรวจไม่พบรอยฉีกขาด แต่พบเลือดออกมากหรือเซลล์ผิดปกติ: ในกรณีที่ตรวจไม่พบรอย

  • ฉีกขาดของจอประสาทตา แต่มีเลือดออกในวุ้นตาในปริมาณมาก หรือมีเซลล์เม็ดสีในส่วนหน้าของวุ้นตา ผู้เชี่ยวชาญด้านจอประสาทตาควรทำการตรวจซ้ำอย่างละเอียดในวันถัดไปทันที เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยฉีกขาดที่จอประสาทตาตามมาได้

  • แนวทางที่ 2: แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถปรับตัวหรือเริ่มชินกับอาการได้เอง บางรายอาการอาจดีขึ้นเมื่อจุดลอยเคลื่อนออกนอกแนวการมอง แต่มีบางคนที่รู้สึกว่า floaters ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตจนทนไม่ได้ และต้องการการรักษา

ปัจจุบันมี 2 ทางเลือกหลักในการรักษา
การผ่าตัดวุ้นตา (pars plana vitrectomy)Vitrectomy (การผ่าตัดวุ้นตา):

งานวิจัยล่าสุด: พูดถึงเทคนิคการผ่าตัดแผลเล็ก (Micro-incision Vitrectomy) ที่ทำให้แผลหายเร็วขึ้นและความเสี่ยงลดลงมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน

หลักการ: "เหมือนการเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาค่ะ เราจะดูดเอาวุ้นตาเก่าที่มีตะกอนออก แล้วใส่น้ำเกลือชนิดพิเศษที่ปลอดภัยกับดวงตาเข้าไปแทนที่"

เหมาะกับใคร: เคสที่มี Floaters จำนวนมากจนบดบังการมองเห็นอย่างรุนแรง และไม่สามารถรักษาด้วยเลเซอร์ได้

ข้อดี/ข้อเสีย: กำจัด Floaters ได้เกือบ 100% / เป็นการผ่าตัด มีความเสี่ยงสูงกว่าเลเซอร์ (เช่น ต้อกระจก, จอตาหลุดลอก, ติดเชื้อ)

การยิงเลเซอร์ลบจุดลอยในวุ้นตา หรือที่เรียกว่า YAG laser vitreolysis

YAG Laser Vitreolysis (ยิงเลเซอร์สลายตะกอน):

งานวิจัยล่าสุด: อ้างอิงถึงผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สูงขึ้นในเลเซอร์รุ่นใหม่ๆ สามารถสลายตะกอนให้เล็กลงหรือระเหิดไปได้เลยค่ะ

เหมาะกับใคร: ตะกอนขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากเลนส์และจอประสาทตาพอสมควร (เช่น Weiss ring)

ข้อดี/ข้อเสีย: ไม่ต้องผ่าตัด, ทำได้เร็ว / อาจต้องทำหลายครั้ง, ไม่ได้ผลกับตะกอนทุกชนิด

การวิจัยในอนาคต (Future Outlook):

ยาหยอดตา: พูดถึงงานวิจัย "ยาหยอดตา Atropine ความเข้มข้นต่ำ" ที่ช่วยขยายม่านตาเล็กน้อย ทำให้เงาของ Floater ตกกระทบจอประสาทตาน้อยลง จึงรู้สึกรำคาญน้อยลง (แต่ไม่ได้กำจัด Floater นะคะ)

ยาฉีดสลายวุ้นตา (Pharmacologic Vitreolysis): กล่าวถึงแนวคิดการพัฒนายาฉีดเข้าไปเพื่อสลายพันธะของตะกอนโดยตรง ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและเป็นความหวังในอนาคตค่ะ

  • In 2002, Delaney et al.ได้นำเลเซอร์ YAG มาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีน้ำวุ้นตาเสื่อม จำนวน 38 คน ผลการรักษาพบว่า 38% ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นในระดับปานกลางหรือมากกว่าตามความรู้สึกของตนเอง ในจำนวนนี้ มีผู้ป่วย 11 คนไม่พอใจกับผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเลเซอร์ YAG และได้เข้ารับการผ่าตัดวิตเรคโตมีในภายหลัง 

  •  ในปี 2017 Shah และคณะ [7] ได้ทำการทดลองควบคุมแบบสุ่มครั้งแรกที่เปรียบเทียบการรักษาด้วยเลเซอร์ YAG กับการใช้เลเซอร์หลอก (sham laser) สำหรับต้อในน้ำวุ้นตา ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า 53% ของผู้ป่วยในกลุ่มที่ได้รับเลเซอร์จริง มีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามความรู้สึกของตนเอง ขณะที่กลุ่มที่ได้รับเลเซอร์หลอกไม่มีการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องผลข้างเคียงระหว่างสองกลุ่มนี้ 

  • Lin et al., 2023 วิธีการศึกษาโดยสรุป: การศึกษานี้เป็น การศึกษาแบบย้อนหลัง (retrospective study) โดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยที่มีอาการ จุดลอยในตา (VDM) ชนิดที่เกิดจาก PVD และได้รับการรักษาด้วย เลเซอร์ YAG ที่โรงพยาบาล He Eye Specialist ระหว่างปี 2019–2020 ผู้ป่วยทั้งหมด 221 คน ระยะเวลาติดตามผลเฉลี่ย: ประมาณ 21 เดือน หลังการทำเลเซอร์ 57% ของผู้ป่วยมีอาการจุดลอยในตาดีขึ้นอย่างชัดเจน (≥50%) ไม่พบภาวะแทรกซ้อนทางจอประสาทตา เช่น การฉีกขาดหรือหลุดลอก แม้แต่รายเดียว

    ปัจจัยที่มีผลต่อการดีขึ้นของอาการอย่างมีนัยสำคัญคือ อายุ — ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีแนวโน้มดีขึ้น (ค่า OR = 1.049, 95% CI = 1.007–1.092, P = 0.021)  

    ข้อจำกัดของงานวิจัยนี้คือ เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังในศูนย์เดียว ไม่มีการสุ่มตัวอย่างและไม่ได้ใช้ OCT ประเมินจอประสาทตา รวมถึงไม่ได้วัดคุณภาพการมองเห็นอย่างละเอียด

  •  Zhou et al. (2024) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพและความปลอดภัยระหว่างการรักษาแบบทำเร็วและช้า งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบ double‑blind ครั้งแรกที่เปรียบเทียบ YAG laser ทำทันทีกับชะลอเวลา ในผู้ป่วยที่มีอาการ floaters น้อยกว่า 1 เดือน

สรุป Laser

-ผลลัพธ์ในระยะสั้นจากหลายงานวิจัย พบว่า YAG laser ช่วยลดอาการจุดลอยในตาได้ประมาณ 53-77% 

-และในระยะยาวที่ติดตามเกิน 2 ปี ผลการรักษายังอยู่ที่ประมาณ 50% 

-ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไม่ได้รับผลดีอย่างมีนัยสำคัญหลังรักษาด้วยเลเซอร์ YAG โดยลักษณะของจุดลอยแบบ “cloudy” และ “lamelliform” มีโอกาสตอบสนองต่ำกว่ารูปแบบอื่น

- ผู้ป่วยที่มีสายตาสั้นจัดหรือสายตายาวลูกตายาว (myopia สูง) มักมีจำนวนจุดลอยมากและกระจาย จึงยากต่อการรักษาด้วยเลเซอร์ YAG ซึ่งมีผลตอบรับค่อนข้างน้อย ทำให้ในกลุ่มนี้การผ่าตัด vitrectomy อาจเหมาะสมกว่า

-ผู้สูงอายุมีแนวโน้มตอบสนองต่อการรักษาด้วยเลเซอร์ YAG ได้ดีมากกว่า เนื่องจากความไวต่อความเปรียบต่างของภาพลดลง ทำให้ทนต่อจุดลอยได้ดีขึ้น  

-มีรายงานภาวะแทรกซ้อนเล็กน้อยจาก YAG laser เช่น ต้อกระจกชนิดเฉพาะที่ ต้อหินชนิดเปิด ม่านตาเลือดออก แต่ในงานวิจัยนี้ไม่ได้พบ

-แม้จะยังไม่มีการทดลองควบคุมแบบสุ่มเปรียบเทียบ YAG laser กับ vitrectomy อย่างชัดเจน แต่ vitrectomy มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าแต่ก็มีความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนมากกว่า เช่น ต้อกระจกสูงขึ้น โรคต้อหิน อาการบวมบริเวณจอประสาทตา

อนาคตของการรักษาจุดลอยในตา (The Future)

ในช่วงหลัง มีงานวิจัยและเทคโนโลยีใหม่หลายแนวทางที่กำลังได้รับความสนใจในฐานะทางเลือกที่ “เหนือกว่า” เลเซอร์แบบดั้งเดิม เช่น YAG laser ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันในปัจจุบัน

1. เลเซอร์เจเนอเรชันใหม่: Picosecond และ Femtosecond Lasers

ดร.เซแบก (Dr. Sebag) ผู้เชี่ยวชาญด้านวุ้นตา ได้แสดงความเห็นว่า

“เลเซอร์แบบพิโควินาที (picosecond) และเฟมโตวินาที (femtosecond) อาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า YAG laser โดยเฉพาะหากสามารถทำให้พลังงานเลเซอร์พุ่งเป้าได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ภาพ 3 มิติเป็นแนวทางนำร่อง”

ความแตกต่างสำคัญคือ:

  • YAG laser ทำหน้าที่ “ตัด” หรือ disrupt จุดขุ่น

  • ขณะที่เลเซอร์พลังงานสูงแบบใหม่อาจสามารถ เผาทำลาย (ablate) กลุ่มคอลลาเจนต้นเหตุของ floaters ได้โดยตรง

การใช้เลเซอร์เหล่านี้อาจเป็นแนวทางเดี่ยว หรือใช้เสริมกับ YAG laser เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดผลข้างเคียง

2. ยาฉีดละลายวุ้นตา: Pharmacologic Vitreolysis

อีกแนวทางหนึ่งที่ได้รับความสนใจคือการใช้ยาเพื่อแยกกลุ่มคอลลาเจนในวุ้นตา ซึ่งเป็นต้นเหตุของ floater

“การใช้ยาอาจช่วย ‘ละลาย’ หรือแยกเส้นใยคอลลาเจนที่จับกลุ่มกัน ซึ่งทำให้เกิดเงาในสายตา และลดทอน contrast sensitivity”

แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในอดีตยังไม่มีตัวยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และน่าจับตามองว่าหากสามารถหาสูตรยาที่เหมาะสมได้จริง ก็อาจกลายเป็นแนวทางที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัด

ดร.เซแบกกล่าวเพิ่มเติมว่า:

“หลังจากเราคุ้นเคยกับการฉีดยากลุ่ม anti-VEGF เข้าวุ้นตาเพื่อรักษาจอตาเสื่อมแล้ว การฉีดยาสำหรับละลายวุ้นตาก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพียงแต่เราต้องการยาที่ถูกออกแบบมาสำหรับวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ”

3. นาโนบับเบิล (Nanobubble Therapy): ความหวังใหม่จากเทคโนโลยีนาโน

ที่มหาวิทยาลัยเกนต์ ประเทศเบลเยียม มีการพัฒนาเทคโนโลยี นาโนบับเบิล โดยใช้อนุภาคนาโนที่ออกแบบให้เกาะเฉพาะกลุ่มคอลลาเจนในวุ้นตา เมื่อฉีดเข้าสู่วุ้นตา:

  • ใช้ เลเซอร์พลังงานต่ำ ยิงเข้าไปโดยไม่ต้องเล็งแม่นยำ

  • อนุภาคนาโนจะดูดซับพลังงานและปล่อยเป็น นาโนบับเบิล ที่ทำลายจุดขุ่นในวุ้นตาอย่างเฉพาะเจาะจง

“พลังงานเลเซอร์ที่ต้องใช้ต่ำกว่าการยิง YAG laser ถึง 1,000 เท่า ซึ่งอาจปลอดภัยมากกว่าในระยะยาว”

เทคโนโลยีนี้อยู่ในขั้นทดลองในหลอดทดลอง (in vitro) และในสัตว์ทดลอง (เช่น กระต่าย) โดยแสดงผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

4. การจัดการด้วยแสง (Optical Compensation)

แม้จะยังอยู่ในช่วงแนวคิด แต่การปรับ "แสง" ก็อาจเป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ โดยไม่ต้องแตะต้องวุ้นตาเลย

“หากเราเข้าใจฟิสิกส์ของการหักเหแสงในวุ้นตาได้มากพอ อาจสามารถออกแบบ ‘อุปกรณ์หักล้างการกระจายแสง’ ที่ลดอาการของ VDM โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้ยาเลย”

เทคโนโลยีลักษณะนี้อาจอยู่ในรูปแบบของแว่นพิเศษ หรืออุปกรณ์ optical interface ที่ช่วยจัดการผลกระทบจากการกระจายแสง (light scattering) ที่ผู้ป่วย VDM มองเห็น


บทสรุป
มันไม่บ่อยนักที่เราจะพบความต้องการทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง (unmet medical need) อย่างชัดเจนเท่ากับผู้ป่วย floaters หากเราเพียงแค่เปิดใจฟังผู้ป่วย เราจะเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาประสบอยู่มีผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง และนั่นจะนำไปสู่การพัฒนาแนวทางวินิจฉัยและการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
Reference

Lin, T.-Z., Shi, C., Yang, X., Pazo, E. E., Hui, Y.-N., & Shen, L.-J. (2023). Long-term efficacy and safety of YAG laser vitreolysis for vision degrading myodesopsia. International Journal of Ophthalmology, 16(11), 1800–1805. https://doi.org/10.18240/ijo.2023.11.10


Bergstrom, R., & Czyz, C. N. (2022, December 23). Vitreous floaters. In StatPearls [Internet]. StatPearls Publishing. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK470420/


Zhou, H., Jin, Y., Zhou, Y., Zhao, G., Wu, H., & Chen, F. (2024). Efficacy and safety of early YAG laser vitreolysis for symptomatic vitreous floaters: The study protocol for a randomized clinical trial. Trials, 25(1), 48. https://doi.org/10.1186/s13063-024-07924-1


Gui, W., Silverman, R. H., & Sebag, J. (2022). Etiology and diagnosis of vision degrading myodesopsia: Part 1 of a 3-part series on a vitreous pathology that can profoundly impact patients’ lives. Retinal Physician, 19(June), 30–33.


Nguyen JH, Nguyen-Cuu J, Mamou J, Routledge B, Yee KMP, Sebag J. Vitreous structure and visual function in myopic vitreopathy causing vision degrading myodesopsia. Am J Ophthalmol. 2021;224:246-253. doi:10.1016/j.ajo.2020.09.017


Comentarios

Obtuvo 0 de 5 estrellas.
Aún no hay calificaciones

Agrega una calificación
bottom of page